ในเวลา - คุณค่าชีวิต
คนบางคน ใช้เวลาทั้งชีวิตให้หมดไปกับความโลภ
โดยลืมไปว่า ตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร
คนบางคน ใช้เวลาทั้งชีวิตให้หมดไปกับการหาเงิน
โดยลืมไปว่า ตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร
คนบางคน ใช้เวลาทั้งชีวิตให้หมดไปกับความแค้น
โดยลืมไปว่า ตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร
คนบางคน ใช้เวลาทั้งชีวิตให้หมดไปกับความริษยา
โดยลืมไปว่า ตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร
คนบางคน ใช้เวลาทั้งชีวิตให้หมดไปกับความหลังอันหดหู่
โดยลืมไปว่า ตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร
คนบางคน ใช้เวลาทั้งชีวิตให้หมดไปกับความรัก
โดยลืมไปว่า ตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร
คนบางคน ใช้เวลาทั้งชีวิตให้หมดไปกับกามารมณ์
โดยลืมไปว่า ตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร
คนบางคน ใช้เวลาทั้งชีวิตให้หมดไปกับการทำธุรกิจ
โดยลืมไปว่า ตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร
คนบางคน ใช้เวลาทั้งชีวิตให้หมดไปกับการบ้าอำนาจ
โดยลืมไปว่า ตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร
คนบางคน ใช้เวลาทั้งชีวิตให้หมดไปกับเกียรติยศ
โดยลืมไปว่า ตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร
คนบางคน ใช้เวลาทั้งชีวิตให้หมดไปกับอุดมการณ์
โดยลืมไปว่า ตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร
คนบางคน ใช้เวลาทั้งชีวิตให้หมดไปกับสุรายาเสพติด
โดยลืมไปว่า ตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร
คนบางคน ใช้เวลาทั้งชีวิตให้หมดไปกับอบายมุข
โดยลืมไปว่า ตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร
*** มีคนไม่กี่คน !
ที่ ตระหนักรู้ว่า แท้ที่จริงนั้นเรามีเวลาอยู่ในโลกเพียงน้อยนิด, เราเกิดมาทำไม, และเราจะใช้ชีวิตอย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุดในช่วงเวลาอันแสนสั้นนั้น ?
ชีวิตจะเป็นสุข...เมื่อมองทุกข์อย่างเข้าใจ
การที่เราจะมีความสุขในชีวิตหรือไม่นั้น
สิ่งสำคัญที่สุดอยู่ที่จิตใจ และความคิดของตนเอง
หากคิดแต่เรื่องดีๆ
ชีวิตก็มีความสุขและมีความทุกข์อย่างเข้าใจ
ถ้าหากกำลังมีทุกข์
ขออย่าคิดว่าทุกข์ของตนเองมากมายกว่าผู้อื่น
ให้เพียรพยายามคิดว่าผู้อื่นก็มีทุกข์ไม่น้อยไปกว่า
หรืออาจจะหนักหนาสาหัสกว่าเสียอีก
หากนำความทุกข์ไปเปรียบกับผู้ที่แย่กว่า
จะช่วยให้มีกำลังใจเพิ่มขึ้น
และรู้สึกว่ายังโชคดีกว่าอีกหลายๆ คน
ดังเช่นที่นักปราชญ์เคยกล่าวเอาไว้ว่า :
"ในขณะที่ท่านกำลังร้องห่มร้องไห้เพราะไม่มีรองเท้าใส่
ท่านควรคิดถึงคนที่เขาไม่มีแม้กระทั่งเท้า
หรือหากท่านเสียใจที่ไม่มีเท้า
แต่ยังมีอีกหลายคนที่ไม่มีทั้งเท้าและทั้งแขน"
หรือหากทำงานและธุรกิจล้มเหลวก็ขอให้คิดว่า
ความผิดพลาดและล้มเหลว
คือบทเรียนเริ่มต้นของความสำเร็จ
เหมือนคำกล่าวที่ว่า :
"บทเรียนชีวิตที่ดีที่สุด
ล้วนได้มาจากความผิดพลาดล้มเหลวของตนเอง
ความโง่เขลาเบาปัญญาและความผิดพลาดในอดีต
จะกลายเป็นสติปัญญา และความสำเร็จในอนาคต"
แบ่งปันความสุข แบ่งเบาความทุกข์ :
แบ่งปันความสุข
เพิ่มความสุขเป็นสองเท่า
เมื่อใดที่ใครเป็นทุกข์
จงช่วยเหลือแบ่งเบาความทุกข์
และทำให้เขาคิดได้ว่าความสุขยังมีอยู่
เมื่อใดที่มีความสุข
จงแบ่งปันให้ผู้อื่น
การให้ความเอื้ออาทร ความรักความเข้าใจ
เป็นการสร้างความสุขให้กับตนเองเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
ยิ่งแบ่งปันความสุขที่มี
ก็ยิ่งทำให้มีความสุขแก่ตนเองเพิ่มขึ้น
และหากแบ่งเบาความทุกข์ของผู้อื่น
ก็จะลดความทุกข์ของตนเองได้ด้วยเช่นกัน
เพราะว่า "การแบ่งปันความสุขให้ผู้อื่น
เพิ่มความสุขให้กับตนเองเป็นสองเท่า
การแบ่งเบาความทุกข์ของผู้อื่น
ลดความทุกข์ของตนเองลงครึ่งหนึ่ง"
~~~ ถ้าเราแคร์คำพูดแย่ๆ...ก็เท่ากับแพ้ใจตัวเอง ~~~~
~~~ “ถ้าคนหนึ่งตีกลอง แล้วอีกคนยิ่งเต้น คนตีเขาก็ยิ่งตี แต่ถ้าตีแล้วไม่เกิดอะไรขึ้น เขาก็จะหยุดไปเอง เพราะตีไปก็เหนื่อยเปล่า” ~~~
คำพูดบางคำทำร้ายคนฟังได้น่าดู
ถ้าจะให้ไม่แคร์เนี่ย ทำได้ยากแน่นอน
ถ้าเคยรู้สึกแย่ กับคำพูดแย่ ๆ ของคนหลายคน
คำพูดของเขาทำให้เราหมดความนับถือตัวเอง
บางครั้งมันอาจจะถึงขนาดทำให้ชีวิตเปลี่ยนแปลงไป
บั่นทอนสุขภาพกายและใจ
คนพูดทิ้งยาพิษไว้ในใจเรา แล้วก็หนีลอยนวล
คนที่แย่คือคนฟังสิ...
ฉันเลยเปลี่ยนความคิดใหม่
พยายามหาเหตุผลเพื่อเข้าใจพวกเขา
คนที่ชอบติข้อบกพร่อง
ตอกย้ำปมด้อยของคนอื่น เพราะต้องการให้ตัวเองดูดี
คนพวกนี้มีปมด้อยในใจ ชอบสร้างคุณค่าให้ตัวเอง
โดยการติคนอื่น เพื่อลดคุณค่าของคนอื่น
จิตใจเขาขุ่นมัว มองไม่เห็นความดี ความสวยงาม
และสิ่งดี ๆ ในตัวคนอื่น เพื่อนำมาพูดถึง
บ่อยครั้งที่เรามักเจอคำพูดแย่ ๆ จากคนรอบข้าง
ถ้าไม่รู้จักดูแลจิตใจ ความรู้สึกของตัวเอง
เราจะถูกบั่นทอนลงทีละนิด....
ที่สำคัญเราจะต้องหนักแน่น อย่าหวั่นไหว
ที่เขาว่ามา เป็นปมด้อยของเราก็จริง
แต่คนเราเลือกเกิดไม่ได้
ที่เขาติมาเพราะเขามองหาส่วนแย่ ๆ ของเราต่างหาก
ที่ดี ๆ ก็มี แต่เขาไม่พูด
ตัวเราย่อมรู้ตัวเองดีที่สุด
เชื่อในคุณค่าของตัวเอง ไว้ใจตัวเอง
ดูแลหัวใจของเราให้ดี
เรียนรู้ที่จะคิดปฏิเสธคำพูดแย่ ๆ จากคนอื่น
รู้แหล่งที่มาอย่างมีเหตุผล
แล้วจะไม่มีอะไรมาบั่นทอนหัวใจเราได้เลย...
:น่าเสียดาย :
น่าเสียดาย ที่เรามีพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ
แต่เรากลับศรัทธาไสยศาสตร์หัวปักหัวปำ
น่าเสียดาย ที่เรามีพระมหากษัตริย์ที่แสนดี
แต่เรากลับมีคนโกงกินเต็มบ้านเต็มเมือง
น่าเสียดาย ที่เรามีวัดอยู่เกือบทุกหมู่บ้าน/ตำบล
แต่เรากลับมากด้วยคนขาดจริยธรรมอยู่ทั่วไป
น่าเสียดาย ที่เราสถาปนาประชาธิปไตยตั้งแต่ พ.ศ. 2475
แต่เรากลับมีปฏิวัติ/รัฐประหารมาแล้ว 14 ครั้ง
น่าเสียดาย ที่เรามีมหาวิทยาลัยมากมายติดอันดับโลก
แต่เรากลับโชคร้ายที่คนไทยชอบดูดวงบวงสรวงเทพยดา
น่าเสียดาย ที่เรามีป่าไม้-แม่น้ำ-ธรรมชาติอุดมสมบูรณ์
แต่เรากลับเทิดทูนการทำลายแทนการรักษา
น่าเสียดาย ที่เรามีศิลปวัฒนธรรมเป็นของตนเอง
แต่เรากลับเก่ง “การลอกเลียนแบบ” เป็นที่สุด
น่าเสียดาย ที่เรามีสื่อมวลชนมากมายไร้พรมแดน
แต่เจ็บปวดเหลือแสนเมื่อสื่อมวลชนมุ่งแต่การขายสินค้า
น่าเสียดาย ที่เรามีกฎหมาย
แต่เรากลับปล่อยให้มีการใช้กฎหมู่จนเป็นเรื่องธรรมดา
น่าเสียดาย ที่เรามีหนังสือมากมายหลายพันเล่มในห้องสมุด
แต่สถิติสูงสุดคือเราอ่านหนังสือกันปีละ 8 บรรทัด
น่าเสียดาย ที่เรามีอินเตอร์เน็ตใช้ก่อนประเทศในโลกที่สาม
แต่เรากลับเสื่อมทรามเพราะใช้ส่งภาพถ่ายคลิปโป๊
น่าเสียดาย ที่เรามีโทรทัศน์หลายสิบช่อง
แต่เรากลับจ้องจะดูแต่ละครน้ำเน่า
น่าเสียดาย ที่เรามีพ่อแม่อยู่ในบ้าน
แต่เรากลับปล่อยให้ท่านอยู่อย่างเปลี่ยวเหงา
น่าเสียดาย ที่เราสามารถกลับตัวเป็นคนดีได้
แต่เรากลับชอบใจที่จะเป็นคนเลวตลอดกาล
น่าเสียดาย ที่เราเป็นอิสระจากความอยากได้
แต่เรากลับพึงใจอยู่กับการสนองความอยาก
น่าเสียดาย ที่เราบรรลุนิพพานได้ในชาตินี้
แต่เรากลับยินดีอยู่แค่การทำบุญให้ทาน
////***** สิ่งที่ต้องทำคือ ความดี
สิ่งที่ต้องมีคือ คุณธรรม
สิ่งที่ต้องจำคือ บุญคุณ ////*****
กระจกส่องใจ สอนอะไรคุณ..?
กระจก... ไม่เลือกที่จะสะท้อนภาพทุกชนิด ฉันใด
จิตใจ... จงเอาเยี่ยงอย่างกระจก
กระจก... รับรู้ แต่ไม่ยึดถือครอบครอง
ดังนั้น... จึงไม่มีภาพใดๆ หลงเหลืออยู่ในกระจก
สายฝน... ในกระจก หาได้เปียกกระจกไม่
เปลวไฟ... ในกระจก ก็หาได้เผาลนกระจกเช่นกัน
ทั้งนี้... เพราะกระจก ไม่ได้ให้อำนาจแก่ สายฝน และเปลวไฟ
*** ดังนั้น...จงทำจิตใจของท่าน ให้เป็นดุจการรับรู้ของกระจก เพราะถ้าหากจิตของท่าน หลงยึดถือหรือตกเป็นทาสของกิเลสเมื่อใด ความทุกข์ ความเศร้าหมองใจย่อมตามมา เมื่อนั้น..
กระจกที่เราเห็นไม่ได้เป็นเพียงกระจกที่เอาไว้ส่องหน้า หากแต่กระจกสามารถสะท้อนจิตใจของคนเราได้
บนลู่วิ่ง ใจฉันนิ่ง รอเสียงปืน
นิ้วยันพื้น หน้าตั้งตรง มองข้างหน้า
เสียงปืนลั่น ฉันออกตัว เต็มลีลา
เท้าซ้ายขวา สับฉับไว ใจเต้นแรง
ขาสองข้าง แข่งกันเอง ไม่ยอมแพ้
คู่ต่อสู้ ยังไม่แน่ ใครแอบแฝง
ฉันกัดฟัน มองเส้นชัย ไม่เคลือบแคลง
แต่ละก้าว กล้าและแกร่ง อย่างมั่นใจ
อีกนิดเดียว ถึงจุดหมาย ใจฉันสู้
แม้นไม่รู้ ใครนำบ้าง ไม่หวั่นไหว
ฉันรัวเท้า แอ่นอกพุ่ง มุ่งเส้นชัย
ผลที่ได้ ฉันนำหน้า คว้ารางวัล
คือนาที ที่รอคอย เมื่อครั้งก่อน
เมื่อนึกย้อน ยังภาคภูมิ คำกล่าวขวัญ
เป็นคนเก่ง สร้างชื่อเสียง ให้สถาบัน
ตราบวันนั้น จวบวันนี้ ยังตรึงใจ
เวลานั้น ช่างยิ่งใหญ่ ในดวงจิต
เมื่อหวนคิด ยังฮึกเหิม อยู่ไหวไหว
ภาพเก่าเก่า ค่อย ค่อย ผุด มาเตือนใจ
มาเตือนให้ ฉันยิ้มรับ ปัจจุบัน
เกมส์ชีวิต ลิขิตให้ ใจต้องสู้
ฉันรับรู้ ว่าหน้าที่ คือแข่งขัน
เกิดเป็นคน ต้องแข็งแกร่ง จึงมีวัน
ได้ตื้นตัน กับนาทีนั้น ที่รอคอย
คนบางคน ใช้เวลาทั้งชีวิตให้หมดไปกับความโลภ
โดยลืมไปว่า ตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร
คนบางคน ใช้เวลาทั้งชีวิตให้หมดไปกับการหาเงิน
โดยลืมไปว่า ตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร
คนบางคน ใช้เวลาทั้งชีวิตให้หมดไปกับความแค้น
โดยลืมไปว่า ตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร
คนบางคน ใช้เวลาทั้งชีวิตให้หมดไปกับความริษยา
โดยลืมไปว่า ตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร
คนบางคน ใช้เวลาทั้งชีวิตให้หมดไปกับความหลังอันหดหู่
โดยลืมไปว่า ตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร
คนบางคน ใช้เวลาทั้งชีวิตให้หมดไปกับความรัก
โดยลืมไปว่า ตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร
คนบางคน ใช้เวลาทั้งชีวิตให้หมดไปกับกามารมณ์
โดยลืมไปว่า ตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร
คนบางคน ใช้เวลาทั้งชีวิตให้หมดไปกับการทำธุรกิจ
โดยลืมไปว่า ตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร
คนบางคน ใช้เวลาทั้งชีวิตให้หมดไปกับการบ้าอำนาจ
โดยลืมไปว่า ตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร
คนบางคน ใช้เวลาทั้งชีวิตให้หมดไปกับเกียรติยศ
โดยลืมไปว่า ตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร
คนบางคน ใช้เวลาทั้งชีวิตให้หมดไปกับอุดมการณ์
โดยลืมไปว่า ตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร
คนบางคน ใช้เวลาทั้งชีวิตให้หมดไปกับสุรายาเสพติด
โดยลืมไปว่า ตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร
คนบางคน ใช้เวลาทั้งชีวิตให้หมดไปกับอบายมุข
โดยลืมไปว่า ตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร
*** มีคนไม่กี่คน !
ที่ ตระหนักรู้ว่า แท้ที่จริงนั้นเรามีเวลาอยู่ในโลกเพียงน้อยนิด, เราเกิดมาทำไม, และเราจะใช้ชีวิตอย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุดในช่วงเวลาอันแสนสั้นนั้น ?
ชีวิตจะเป็นสุข...เมื่อมองทุกข์อย่างเข้าใจ
การที่เราจะมีความสุขในชีวิตหรือไม่นั้น
สิ่งสำคัญที่สุดอยู่ที่จิตใจ และความคิดของตนเอง
หากคิดแต่เรื่องดีๆ
ชีวิตก็มีความสุขและมีความทุกข์อย่างเข้าใจ
ถ้าหากกำลังมีทุกข์
ขออย่าคิดว่าทุกข์ของตนเองมากมายกว่าผู้อื่น
ให้เพียรพยายามคิดว่าผู้อื่นก็มีทุกข์ไม่น้อยไปกว่า
หรืออาจจะหนักหนาสาหัสกว่าเสียอีก
หากนำความทุกข์ไปเปรียบกับผู้ที่แย่กว่า
จะช่วยให้มีกำลังใจเพิ่มขึ้น
และรู้สึกว่ายังโชคดีกว่าอีกหลายๆ คน
ดังเช่นที่นักปราชญ์เคยกล่าวเอาไว้ว่า :
"ในขณะที่ท่านกำลังร้องห่มร้องไห้เพราะไม่มีรองเท้าใส่
ท่านควรคิดถึงคนที่เขาไม่มีแม้กระทั่งเท้า
หรือหากท่านเสียใจที่ไม่มีเท้า
แต่ยังมีอีกหลายคนที่ไม่มีทั้งเท้าและทั้งแขน"
หรือหากทำงานและธุรกิจล้มเหลวก็ขอให้คิดว่า
ความผิดพลาดและล้มเหลว
คือบทเรียนเริ่มต้นของความสำเร็จ
เหมือนคำกล่าวที่ว่า :
"บทเรียนชีวิตที่ดีที่สุด
ล้วนได้มาจากความผิดพลาดล้มเหลวของตนเอง
ความโง่เขลาเบาปัญญาและความผิดพลาดในอดีต
จะกลายเป็นสติปัญญา และความสำเร็จในอนาคต"
แบ่งปันความสุข แบ่งเบาความทุกข์ :
แบ่งปันความสุข
เพิ่มความสุขเป็นสองเท่า
เมื่อใดที่ใครเป็นทุกข์
จงช่วยเหลือแบ่งเบาความทุกข์
และทำให้เขาคิดได้ว่าความสุขยังมีอยู่
เมื่อใดที่มีความสุข
จงแบ่งปันให้ผู้อื่น
การให้ความเอื้ออาทร ความรักความเข้าใจ
เป็นการสร้างความสุขให้กับตนเองเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
ยิ่งแบ่งปันความสุขที่มี
ก็ยิ่งทำให้มีความสุขแก่ตนเองเพิ่มขึ้น
และหากแบ่งเบาความทุกข์ของผู้อื่น
ก็จะลดความทุกข์ของตนเองได้ด้วยเช่นกัน
เพราะว่า "การแบ่งปันความสุขให้ผู้อื่น
เพิ่มความสุขให้กับตนเองเป็นสองเท่า
การแบ่งเบาความทุกข์ของผู้อื่น
ลดความทุกข์ของตนเองลงครึ่งหนึ่ง"
~~~ ถ้าเราแคร์คำพูดแย่ๆ...ก็เท่ากับแพ้ใจตัวเอง ~~~~
~~~ “ถ้าคนหนึ่งตีกลอง แล้วอีกคนยิ่งเต้น คนตีเขาก็ยิ่งตี แต่ถ้าตีแล้วไม่เกิดอะไรขึ้น เขาก็จะหยุดไปเอง เพราะตีไปก็เหนื่อยเปล่า” ~~~
คำพูดบางคำทำร้ายคนฟังได้น่าดู
ถ้าจะให้ไม่แคร์เนี่ย ทำได้ยากแน่นอน
ถ้าเคยรู้สึกแย่ กับคำพูดแย่ ๆ ของคนหลายคน
คำพูดของเขาทำให้เราหมดความนับถือตัวเอง
บางครั้งมันอาจจะถึงขนาดทำให้ชีวิตเปลี่ยนแปลงไป
บั่นทอนสุขภาพกายและใจ
คนพูดทิ้งยาพิษไว้ในใจเรา แล้วก็หนีลอยนวล
คนที่แย่คือคนฟังสิ...
ฉันเลยเปลี่ยนความคิดใหม่
พยายามหาเหตุผลเพื่อเข้าใจพวกเขา
คนที่ชอบติข้อบกพร่อง
ตอกย้ำปมด้อยของคนอื่น เพราะต้องการให้ตัวเองดูดี
คนพวกนี้มีปมด้อยในใจ ชอบสร้างคุณค่าให้ตัวเอง
โดยการติคนอื่น เพื่อลดคุณค่าของคนอื่น
จิตใจเขาขุ่นมัว มองไม่เห็นความดี ความสวยงาม
และสิ่งดี ๆ ในตัวคนอื่น เพื่อนำมาพูดถึง
บ่อยครั้งที่เรามักเจอคำพูดแย่ ๆ จากคนรอบข้าง
ถ้าไม่รู้จักดูแลจิตใจ ความรู้สึกของตัวเอง
เราจะถูกบั่นทอนลงทีละนิด....
ที่สำคัญเราจะต้องหนักแน่น อย่าหวั่นไหว
ที่เขาว่ามา เป็นปมด้อยของเราก็จริง
แต่คนเราเลือกเกิดไม่ได้
ที่เขาติมาเพราะเขามองหาส่วนแย่ ๆ ของเราต่างหาก
ที่ดี ๆ ก็มี แต่เขาไม่พูด
ตัวเราย่อมรู้ตัวเองดีที่สุด
เชื่อในคุณค่าของตัวเอง ไว้ใจตัวเอง
ดูแลหัวใจของเราให้ดี
เรียนรู้ที่จะคิดปฏิเสธคำพูดแย่ ๆ จากคนอื่น
รู้แหล่งที่มาอย่างมีเหตุผล
แล้วจะไม่มีอะไรมาบั่นทอนหัวใจเราได้เลย...
:น่าเสียดาย :
น่าเสียดาย ที่เรามีพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ
แต่เรากลับศรัทธาไสยศาสตร์หัวปักหัวปำ
น่าเสียดาย ที่เรามีพระมหากษัตริย์ที่แสนดี
แต่เรากลับมีคนโกงกินเต็มบ้านเต็มเมือง
น่าเสียดาย ที่เรามีวัดอยู่เกือบทุกหมู่บ้าน/ตำบล
แต่เรากลับมากด้วยคนขาดจริยธรรมอยู่ทั่วไป
น่าเสียดาย ที่เราสถาปนาประชาธิปไตยตั้งแต่ พ.ศ. 2475
แต่เรากลับมีปฏิวัติ/รัฐประหารมาแล้ว 14 ครั้ง
น่าเสียดาย ที่เรามีมหาวิทยาลัยมากมายติดอันดับโลก
แต่เรากลับโชคร้ายที่คนไทยชอบดูดวงบวงสรวงเทพยดา
น่าเสียดาย ที่เรามีป่าไม้-แม่น้ำ-ธรรมชาติอุดมสมบูรณ์
แต่เรากลับเทิดทูนการทำลายแทนการรักษา
น่าเสียดาย ที่เรามีศิลปวัฒนธรรมเป็นของตนเอง
แต่เรากลับเก่ง “การลอกเลียนแบบ” เป็นที่สุด
น่าเสียดาย ที่เรามีสื่อมวลชนมากมายไร้พรมแดน
แต่เจ็บปวดเหลือแสนเมื่อสื่อมวลชนมุ่งแต่การขายสินค้า
น่าเสียดาย ที่เรามีกฎหมาย
แต่เรากลับปล่อยให้มีการใช้กฎหมู่จนเป็นเรื่องธรรมดา
น่าเสียดาย ที่เรามีหนังสือมากมายหลายพันเล่มในห้องสมุด
แต่สถิติสูงสุดคือเราอ่านหนังสือกันปีละ 8 บรรทัด
น่าเสียดาย ที่เรามีอินเตอร์เน็ตใช้ก่อนประเทศในโลกที่สาม
แต่เรากลับเสื่อมทรามเพราะใช้ส่งภาพถ่ายคลิปโป๊
น่าเสียดาย ที่เรามีโทรทัศน์หลายสิบช่อง
แต่เรากลับจ้องจะดูแต่ละครน้ำเน่า
น่าเสียดาย ที่เรามีพ่อแม่อยู่ในบ้าน
แต่เรากลับปล่อยให้ท่านอยู่อย่างเปลี่ยวเหงา
น่าเสียดาย ที่เราสามารถกลับตัวเป็นคนดีได้
แต่เรากลับชอบใจที่จะเป็นคนเลวตลอดกาล
น่าเสียดาย ที่เราเป็นอิสระจากความอยากได้
แต่เรากลับพึงใจอยู่กับการสนองความอยาก
น่าเสียดาย ที่เราบรรลุนิพพานได้ในชาตินี้
แต่เรากลับยินดีอยู่แค่การทำบุญให้ทาน
////***** สิ่งที่ต้องทำคือ ความดี
สิ่งที่ต้องมีคือ คุณธรรม
สิ่งที่ต้องจำคือ บุญคุณ ////*****
กระจกส่องใจ สอนอะไรคุณ..?
กระจก... ไม่เลือกที่จะสะท้อนภาพทุกชนิด ฉันใด
จิตใจ... จงเอาเยี่ยงอย่างกระจก
กระจก... รับรู้ แต่ไม่ยึดถือครอบครอง
ดังนั้น... จึงไม่มีภาพใดๆ หลงเหลืออยู่ในกระจก
สายฝน... ในกระจก หาได้เปียกกระจกไม่
เปลวไฟ... ในกระจก ก็หาได้เผาลนกระจกเช่นกัน
ทั้งนี้... เพราะกระจก ไม่ได้ให้อำนาจแก่ สายฝน และเปลวไฟ
*** ดังนั้น...จงทำจิตใจของท่าน ให้เป็นดุจการรับรู้ของกระจก เพราะถ้าหากจิตของท่าน หลงยึดถือหรือตกเป็นทาสของกิเลสเมื่อใด ความทุกข์ ความเศร้าหมองใจย่อมตามมา เมื่อนั้น..
กระจกที่เราเห็นไม่ได้เป็นเพียงกระจกที่เอาไว้ส่องหน้า หากแต่กระจกสามารถสะท้อนจิตใจของคนเราได้
บนลู่วิ่ง ใจฉันนิ่ง รอเสียงปืน
นิ้วยันพื้น หน้าตั้งตรง มองข้างหน้า
เสียงปืนลั่น ฉันออกตัว เต็มลีลา
เท้าซ้ายขวา สับฉับไว ใจเต้นแรง
ขาสองข้าง แข่งกันเอง ไม่ยอมแพ้
คู่ต่อสู้ ยังไม่แน่ ใครแอบแฝง
ฉันกัดฟัน มองเส้นชัย ไม่เคลือบแคลง
แต่ละก้าว กล้าและแกร่ง อย่างมั่นใจ
อีกนิดเดียว ถึงจุดหมาย ใจฉันสู้
แม้นไม่รู้ ใครนำบ้าง ไม่หวั่นไหว
ฉันรัวเท้า แอ่นอกพุ่ง มุ่งเส้นชัย
ผลที่ได้ ฉันนำหน้า คว้ารางวัล
คือนาที ที่รอคอย เมื่อครั้งก่อน
เมื่อนึกย้อน ยังภาคภูมิ คำกล่าวขวัญ
เป็นคนเก่ง สร้างชื่อเสียง ให้สถาบัน
ตราบวันนั้น จวบวันนี้ ยังตรึงใจ
เวลานั้น ช่างยิ่งใหญ่ ในดวงจิต
เมื่อหวนคิด ยังฮึกเหิม อยู่ไหวไหว
ภาพเก่าเก่า ค่อย ค่อย ผุด มาเตือนใจ
มาเตือนให้ ฉันยิ้มรับ ปัจจุบัน
เกมส์ชีวิต ลิขิตให้ ใจต้องสู้
ฉันรับรู้ ว่าหน้าที่ คือแข่งขัน
เกิดเป็นคน ต้องแข็งแกร่ง จึงมีวัน
ได้ตื้นตัน กับนาทีนั้น ที่รอคอย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น