ไปเที่ยวเวียงจันทน์

วันเสาร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2553

ประวัติ blog

บล็อก (Blog) คือ คำว่า “Weblog” ถูกใช้งานเป็นครั้งแรกโดย Jorn Barger ในเดือนธันวาคม ปี 1997 ต่อมามีฝรั่งที่ชอบเรียกสั้นๆ ชื่อนาย Peter Merholz จับมาเรียกย่อเหลือแต่ “Blog” แทนในเดือนเมษายน ปีค.ศ.1999 และจนมาถึงวันที่ 13 มีนาคม ค.ศ.2003 ทาง
Oxford English Dictionary จึงได้บรรจุคำว่า blog ในพจนานุกรม แสดงว่าได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการ บล็อก (Blog) ขึ้นแท่นศัพท์ยอดฮิต อันดับหนึ่ง ซึ่งถูกเสาะแสวงหา ความหมาย ทางพจนานุกรมออนไลน์ มากที่สุด ประจำปี 2004
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า เว็บไซต์ ดิกชั่นนารีหรือ พจนานุกรมออนไลน์ “เมอร์เรียม-เว็บสเตอร์” ได้ประกาศรายชื่อ คำศัพท์ซึ่งถูกคลิก เข้าไปค้นหา ความหมายผ่าน ระบบออนไลน์มากที่สุด 10 อันดับแรกประจำปีนี้ ซึ่งอันดับหนึ่งตกเป็นของคำว่า “บล็อก” (blog) ซึ่งเป็นคำย่อของ “เว็บ บล็อก” (web log)
โดยนายอาเธอร์ บิคเนล โฆษกสำนักพิมพ์พจนานุกรมฉบับ เมอร์เรียม-เว็บสเตอร์ กล่าวว่า สำนักพิมพ์ได้เตรียมที่จะนำคำว่า “บล็อก” บรรจุลงในพจนานุกรมฉบับล่าสุดทั้งที่เป็นเล่มและ ฉบับออนไลน์แล้ว
แต่จาก ความต้องการของผู้ใช้ที่หลั่งไหลเข้ามา ทำให้เมอร์เรียม-เว็บสเตอร์ตัดสินใจบรรจุคำว่า “บล็อก” ลงในเว็บไซต์ในสังกัดบางแห่งไปก่อน โดยให้คำจำกัดความไว้ว่า “เว็บไซต์ที่บรรจุ เรื่องราวเกี่ยวกับบันทึกส่วนตัวประจำวัน ซึ่งสะท้อนถึงมุมมอง ความคิดเห็นของบุคคล โดยอาจรวมลิงค์เชื่อมต่อไปยังเว็บไซต์อื่นๆ ตามความประสงค์ของเจ้าของเว็บบล็อกเองด้วย” โดยทั่วไป คำศัพท์ที่ถูกบรรจุลงในพจนานุกรมนั้นจะต้องผ่านการใช้งาน อย่างแพร่หลาย มาไม่น้อยกว่า 20 ปี ซึ่งหมายความว่าคำคำนั้นจะต้องถูกนำมาใช้
โดยทั่วไป ในระยะเวลาหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันคำศัพท์ ทางเทคโนโลยีรวมไปถึงโรคภัยไข้เจ็บใหม่ๆ อย่างเช่น โรคเอดส์ โรคไข้หวัดซาร์ส ถูกบรรจุลงในพจนานุกรมภายในระยะเวลาอันสั้น
คำว่า “บล็อก” เริ่มใช้เป็นครั้งแรกๆผ่านทางหน้าหนังสือพิมพ์และนิตยสารเมื่อปี 2542 แต่ผู้รวบรวมพจนานุกรมตั้งข้อสังเกตว่าการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และการประชุมใหญ่ของ พรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกันเพื่อรับรองชื่อ ผู้สมัครเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีที่ผ่านมา ทำให้ประชาชนชาวสหรัฐฯ ผู้ติดตามข่าวสารส่วนใหญ่สนใจ และต้องการทราบความหมายที่แท้จริงของคำดังกล่าว โดยเฉพาะเมื่อคำศัพท์เหล่านั้นปรากฏเป็นข่าวพาดหัวตามหน้าหนังสือพิมพ์ทั่ว ไป
นอกเหนือจากคำว่า “บล็อก” แล้ว คำศัพท์ที่ติดอันดับถูกเข้าไปค้นหาความหมายสูงสุด 10 อันดับแรกประจำปีนี้ได้แก่ “อินคัมเบนท์” (incumbent) ซึ่งหมายถึงผู้อยู่ในตำแหน่ง, “อิเล็กทอรัล” (electoral) หรือคณะผู้เลือกตั้ง
ขณะที่บางคำเป็นคำศัพท์ที่เกี่ยวเนื่องกับสงครามใน อิรัก เช่น “สตอร์มส” (stroms) ซึ่งมีความหมายว่ าการโจมตีอย่างรุนแรง, “อิน-เซอร์เจ้นท์” (insurgent) หรือกองกำลังฝ่ายต่อต้านการปกครอง อิรัก, “เฮอร์ริเคน” (hurri- cane) ซึ่งหมาย ถึงผลกระทบอย่างรุนแรง, “เพโลตัน” (peloton) ที่แปลว่ากองทหารขนาดเล็ก และซิคาด้า (cicada) ซึ่งความหมายตามรูปศัพท์ แปลว่าจักจั่น

เมื่อ Facebook กำลังจะครองอินเตอร์เน็ตแทนที่ Google

กระแสของโลก Social Network บูมขึ้นเรื่อยๆ และ Facebook เองก็เป็นหนึ่งในผู้นำด้านนี้ แต่เดิมนั้นโลกของ Social Network จะถูกจำกัดอยู่แต่ภายในเว็บไซต์ของตัวเองเท่านั้น จนกระทั่งเมื่อปีที่แล้ว Facebook ได้เปิดตัว Facebook Connect เข้ามา ทำให้ Facebook เริ่มแผ่ขยายอาณาจักรออกสู่เว็บไซต์อื่นมากขึ้น เว็บใดก็สามารถนำ login ของ Facebook ไปติดที่เว็บไซต์เพื่อใช้ widget เล็กๆ น้อยๆ เช่น กล่อง comment และรายชื่อเพื่อนของตนได้ รวมไปถีงปุ่ม Share ซึ่งนับจำนวนผู้แชร์ได้ (แข่งกับ Digg) ซึ่งส่วนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคือระบบ Login ซึ่งสามารถ login ได้ในคลิกเดียว ง่ายกว่า OpenID ซึ่งเป็นระบบ Login ที่ถูกออกแบบมาเพื่อจะใช้เป็นมาตรฐานการ Login ทั่วอินเตอร์เน็ตมากมายหลายเท่าตัว และระบบ Login นี้เองก็ได้เข้าเป็นหนึ่งในมาตรฐานที่เว็บไซต์ข่าวและ Blog ต่างๆ ต้องมี

Facebook มีอะไรใหม่?

ในงาน f8 ปี 2010 นี้เองที่เป็นงานแถลงข่าวใหญ่ของทาง Facebook ซึ่งปีนี้ ทาง Facebook ได้เปิดตัว Feature ใหม่ๆ 3 ตัวหลักดังนี้

  1. Social Plugin จะคล้ายๆ กับ Facebook Connect ที่ทาง Facebook มีอยู่แล้ว แต่ได้ถูกพัฒนาให้ดีขึ้นกว่าเดิมมาก เช่น ปุ่ม login with face ซึ่งจะแสดงรายชื่อเพื่อนที่เข้าใช้งานเว็บไซต์ที่ติดตั้ง code ตัวนี้ไว้ ทำให้เรารู้ได้ทันทีว่ามีเพื่อนคนใดของเราบ้างที่เข้าใช้งานเว็บไซต์แห่งนี้ เช่นเดียวกับเรา แต่พระเอกของ Social Plugin จริงๆ คือปุ่ม Like ครับ ซึ่งจะตัวเว็บไซต์เองจะได้ประโยชน์จากปุ่ม Like มาก เนื่องจากเมื่อผู้ใช้กด Like แล้ว ใน wall ของผู้ใช้จะปรากฎข้อความว่าผู้ใช้กด Like หน้าอะไร พร้อมใส่ link มายังเว็บไซต์ที่ติดปุ่มเอาไว้ให้อัตโนมัติ เป็นการเพิ่ม traffic กลับมายังตัวเว็บไซต์เองได้เป็นอย่างดี
  2. Open Graph API ส่วนนี้คือการกรอกข้อมูลใน tag meta ใน html เอาไว้ว่าหน้าๆ นี้มีรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องอะไร มีเจ้าของ content เป็นใคร มีที่ตั้งอยู่ที่ไหน (ระบุกันเป็น latitude, longtitude ได้เลยทีเดียว) มี contact ให้ติดต่อได้ทางใดบ้าง ซึ่งพูดง่ายๆ คือ tab info ใน Page นั่นแหละครับ เมื่อมีผู้ใช้มากด Like ที่หน้านี้ content ที่กรอกไว้จะถูกส่งกลับไปให้ facebook เก็บเป็นสถิติเอาไว้ ตัวอย่างเช่น เว็บ review หนัง แล้วผู้ใช้มากด Like ให้กับหนังเรื่อง Iron Man facebook จะรู้ทันทีว่าคนๆ นี้ชอบ content ประเภท Movies เรื่อง Iron Man และข้อมูลจะถูกส่งไปยังหน้า Profile ของผู้ใช้คนนั้นให้เลย ตรงนี้ถูกกล่าวขานว่าจะทำให้กลายเป็น “Semantic Web”
  3. Graph API คือส่วนสำหรับการร้องขอข้อมูลใดๆ จาก Facebook มาใช้งาน สามารถใช้งานได้แม้แต่การดึง profile ของผู้ใช้หากผู้ใช้ให้อนุญาต โดยการเรียกใช้งานจะสามารถเรียกผ่าน URL ได้ทั้งหมด หากขอข้อมูลโดยไม่มีการใช้งาน OAuth จะได้ข้อมูลเพียง ข้อมูล public ที่ผู้ใช้เปิดสิทธิไว้ให้ แต่หากใช้ OAuth ขอ token มาแล้วข้อมูลที่ร้องขอได้จะมากขึ้นตามสิทธิที่ผู้ใช้ให้อนุญาต ตรงนี้ทำให้การใช้งานผ่าน curl ใน command line สามารถกระทำได้ง่ายมาก หรือแม้แต่เรียกรูป profile ของผู้ใช้โดยการใส่ URL ลงใน tag ก็ตาม นอกจากนี้ยังใช้การส่ง POST เพื่อ update ข้อมูลกลับ facebook ได้อีกด้วย

Feature ใหม่นี้มีประโยชน์อย่างไร?

การเปิด Feature ใหม่นี้มีประโยชน์มากมายหลายประการดังนี้

  1. เป็นการยกสังคมออนไลน์ออกมานอก Facebook ทุกๆ เว็บไซต์สามารถมีองค์ประกอบได้ทุกอย่างที่ Page มี (Fan คือจำนวน Likes, ตัว content ในเว็บแทน wall แจ้งข่าวสาร) และยังสามารถตกแต่งหน้าเว็บได้อิสระตามความชอบใจ ไม่ต้องเป็นไปตามหน้าตา facebook
  2. ผู้ใช้กด like ที่หน้าเว็บแล้วข้อมูลความสนใจของผู้ใช้เช่น เพลง หนัง หนังสือ นิยาย จะถูกส่งเข้า profile ของผู้ใช้คนนั้นๆ ทันที โดยที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องกรอกข้อมูลใดๆ ในหน้า profile เพิ่มเติมเองเลย ทำให้ facebook มีข้อมูลความสนใจของผู้ใช้ที่เกิดจากการใช้งานจริงเพิ่มขึ้นอีกมาก
  3. การใช้งาน content หรือตรวจสอบว่าเป็น content ที่มีคุณภาพหรือไม่ ผู้ใช้จะดูจากจำนวน Friend ว่ามีใครมา Like บ้าง ทำให้ content ที่มีคุณภาพในมุมมองของผู้ใช้แต่ละคนแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เช่น นาย A เข้ามาแล้วมี Friend กด Like จำนวน 200 คนนาย A จะคิดว่า content ในหน้านี้ดีมาก ในขณะที่นาย C เข้ามาแล้วพบว่ามี Friend กด Like เพียง 5 คน นาย C อาจจะออกจากหน้านี้ไปโดยไม่ทันได้อ่านเนื้อหาเลยก็ได้เนื่องจากตัดสินตาม จำนวนเพื่อนที่เห็น จะเห็นว่าข้อมูลในหน้าหนึ่งๆ สามารถโด่งดังได้หลากหลายกลุ่มมาก แต่ก็ไม่ใช่ทุกกลุ่มที่จะดัง การกรองข้อมูลด้วยคนใช้จริงที่เป็น Friend กด Like จึงเป็นรูปแบบใหม่ในการวัดคุณภาพ content เลยทีเดียว
  4. จาก Open Graph API ได้ข้อมูล keyword จากเว็บ content จำนวนมากที่นำปุ่ม Like ไปติด ส่งต่อข้อมูลให้ Graph API เรียกไปใช้ต่อได้ และสุดท้ายคือแสดงข้อมูลด้วย Social Plugin ค่อนข้างครบวงจรเลยทีเดียวครับ

แล้ว Facebook จะมาครองอินเตอร์เนตแทนที่ Google ได้อย่างไร?

ขอแยกประเด็นเป็นข้อๆ ดังนี้ครับ

  1. Product หลักของ Google คือ Search Engine ถูกไหมครับ แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าการ search นั้นถูกอ้างอิงโดยสิ่งที่ผู้ใช้คนนั้นสนใจอยู่? และยิ่ง facebook รุกออกนอกกำแพงภายในเว็บตัวเองออกไปเว็บไซต์ใดๆ แล้ว การ search จะยิ่งมีคุณภาพมากขึ้น ผลลัพธ์การค้นหาที่เกี่ยวข้องกับความสนใจของผู้ใช้ที่ผ่านมาจะปรากฏขึ้นเป็น อันดับแรกๆ ทำให้ได้ข้อมูลที่แม่นยำกว่าเดิมมาก อีกทั้งเมื่อพบข้อมูลสินค้าใดๆ แล้วยังสามารถระบุข้อมูลตำแหน่ง และสถานที่ติดต่อได้ทันที ตามที่ผมกล่าวไว้ใน Open Graph API
  2. มาพูดในแง่การหารายได้กันบ้าง รายได้หลัก Google มาจาก AdWord และ Adsense แต่ทว่าทุกวันนี้ Facebook Ads เป็นอะไรที่มีคุณภาพกว่า AdWord มากหลายเท่า เนื่องจากระบุกลุ่มเป้าหมายได้ละเอียดตั้งแต่เพศ อายุ ประเทศ ไปจนถึงความสนใจ และเมื่อ Facebook ปูทางไว้แล้วด้วย Social Plugin ต่างๆ ที่ติดตามเว็บไซต์กระจายตัวมากขึ้นไปทั่ว อีกหน่อยการจะทำโฆษณาแบบ Adsense ไปติดตามเว็บที่มี Social Plugin ก็ไม่ใช่เรื่องยาก แถมยัง target ได้ตรงกว่า AdWord หลายเท่าอีกด้วย แล้วยังมีการกด Like ของเพื่อนๆ เข้ามาตรงส่วนโฆษณาอีกต่างหาก พูดง่ายๆ ว่า AdWord ดูกระจอกไปเลยในทันที
  3. Google คงจะพอรู้ตัวว่าสู้ Facebook ลำบาก เลยพยายามดัน Google Buzz ที่เป็น Social Network ออกมา เพื่อจะอาศัยประโยชน์ข้อเดียวกับ Facebook แต่ปรากฏว่ากลุ่มผู้ใช้ยังคงอยู่ในวงแคบ (ใน Gmail) เท่านั้น
  4. ความ Real Time ของข่าวสารก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ Google สู้ Social Network ไม่ได้ทั้ง Twitter และ Facebook เนื่องจาก content ที่โพสต์โดยผู้ใช้ย่อมไวกว่ารอ bot ไปวิ่งเก็บตามที่ต่างๆ มารวมกันแน่นอน แม้ว่า Google จะเพิ่ม Social Search แต่แน่นอนนั่นไม่ใช่ข้อมูลของ Google เอง แล้ว Google จะอยู่ได้อย่างไร!

สรุปได้ง่ายๆ ว่าหมัดเด็ดของ Google ที่อยู่ยืนยงมานานนับสิบปี ตอนนี้กำลังจะโดนตีตลาดแล้วอย่างแน่นอน Search Engine ที่โดน Bing เข้าตีแต่ยังไม่ประสบความสำเร็จ อาจจะโดน Facebook ตีชนะไปเสียก่อนในเร็ววันนี้ แหล่งรายได้หลักจากโฆษณาที่แทรกอยู่ในบริการของ Google เมื่อ Facebook กระจาย Facebook Ads ไปตามเว็บต่างๆ เมื่อไรก็เสร็จ แม้แต่ Google Docs ยังโดน docs.com ที่เป็นความร่วมมือของ facebook กับทาง microsoft เข้าแข่งด้วยหัวใจหลักของ Google โดนตีพังเสียหายหมด หนทางรอดของ Google ตอนนี้ สงสัยว่าคงจะอยุ่ที่ Android ที่ Google กระจายตัวสู่ตลาดได้ดีมากเพียงอย่างเดียวแล้วกระมัง

เหตุการณ์จะเป็นเช่นไร คงต้องรอดูสถานการณ์ต่อไปละครับ

ภาพพุทธประวัติ สวยงามมากๆ

ภาพพุทธประวัติ ชุดนี้ส่งมาให้ผม สวยงามเกินกว่าบรรยายได้จริงๆ แถมยังทำให้ใจสงบนิ่งได้ ผมขอยกย่องว่าเป็นภาพที่มีคุณค่าทางใจอย่างมาก









การใช้อินเตอร์เน้ตอย่างปลอดภัย

ภัยจากอินเทอร์เน็ต

ภัยข้อแรก ภัยจากการแชท การ แชท หมายถึง การพูดคุยกันทางอินเทอร์เน็ต เป็นภัยที่พบง่ายและบ่อยที่สุด บางครั้งเราอาจกำลังสนทนาอยู่กับคนที่ต้องการแสวงหาผลประโยชน์จากเราอยู่ก็ ได้ ถ้าเราเผลอให้ข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ หรือนัดเจอคนที่รู้จักกันทางเน็ต เราอาจตกเป็นเหยื่อของคนเหล่านี้ได้ คนเหล่านี้เล่นแชท เพราะเป็นคนไม่ค่อยมีเพื่อน , มีปมด้อย , อยากหาแฟน , เพ้อฝันว่าอาจจะได้เจอสิ่งดีๆ ในเนต ,โรคจิต , แสวงหาผลประโยชน์จากคนที่ไม่รู้ , หาความรู้โดยไม่อยากเสียเงิน หรือเล่นไปงั้นๆ แหละ เพื่อนบอกให้ลอง

ภัยข้อที่ 2 ภัยจากการเล่นเกมส์ออนไลน์ เป็น เหมือนกับยาเสพติดดีๆ นี่เอง เพราะเมื่อเล่นแล้วทำให้ไม่อยากหยุดเล่น อยากทำคะแนนให้ได้เยอะๆ ได้ level ที่สูงขึ้น อยากอวด อยากเอาชนะคนอื่น ปัจจุบันเกมส์ออนไลน์มีมากมาย บางเกมส์ส่อไปในทางลามกอนาจาร มีการนำเสนอภาพที่รุนแรง บางเกมส์มีการขายของที่อยู่ในเกมส์ หลายคนเคยตกเป็นเหยื่อเพราะโดนหลอกซื้อของที่อยู่ในเกมส์ก็มี นักเรียนต้องรู้จักข่มใจตนเอง เลือกเล่นเฉพาะเกมที่สร้างสรรค์ กำหนดเวลาเล่นให้เป็น ไม่ใช่เล่นเอาเป็นเอาตาย สิ่งเหล่านี้เป็นตัวบั่นทอนทำให้เสียสุขภาพกาย สุขภาพจิต รวมถึงเสียการเรียนด้วย

ภัยข้อสุดท้าย ภัยจากการท่องเวบ ภัย จากการท่องเว็บอันดับ 1 คือ การโฆษณาหลอกลวงขายสินค้า เช่น สั่งซื้อของจ่ายเงินแล้วแต่ไม่ได้ของก็มี 2. เว็บดาวน์โหลด ถ้าดาวน์โหลดสุ่มสี่สุ่มห้า อาจจะมีไวรัสแถมมาด้วย หรือบางเว็บแค่คลิกเข้าไปก็โดนไวรัสแล้ว 3. เว็บโป๊ อนาจาร 4. เว็บบอร์ด กระดานถามตอบ อาจมีการโพสต์ข้อความชวนเชื่อ โกหกบ้าง จริงบ้าง ใช้ถ้อยคำที่ไม่สุภาพเพื่อกลั่นแกล้งกันก็มี 4. ภัยจากอีเมล์ก็มีไวรัส หรือภาพโป๊ ฟอร์เวิร์ดเมล์ที่ไร้สาระ ถ้ามีเมล์ที่เราไม่รู้จักเข้ามา ก็ควรลบทิ้ง

4 วิธีของเด็ก- 6 วิธีสำหรับผู้ใหญ่ ป้องกันอันตรายจากเน็ต

อินเตอร์เน็ตถือ เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมและอยู่ใกล้ชิดเยาวชนมากที่สุด ช่วยให้เยาวชนสามารถค้นคว้าหาความรู้และสาระได้อย่างเท่าเทียมกับอารยประเทศ แม้มีประโยชน์มากมายแต่ก็ยังมีอันตรายไม่น้อยสำหรับเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลายเป็นแหล่งก่อให้เกิดปัญหาการล่อลวงเด็ก และเกิดความเสียหายกับตัวเด็ก ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีข้อเสนอ 6 แนวทางสำหรับผู้ใหญ่ และ 4 แนวทางสำหรับเด็กในการป้องกันอันตรายจากอินเตอร์เน็ตที่มีกับเด็ก ลดช่องว่างด้านเทคโนโลยี และสกัดกั้นความเสียหายต่ออนาคตของชาติ จากผู้ใช้ในเมืองไทย 4.5 ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นเยาวชน

ส่วนของพ่อแม่ ผู้ปกครอง...
1. ไม่ควรปล่อยให้เยาวชนหรือบุตรหลานเล่นอินเตอร์เน็ตตามลำพัง
2. กระตุ้นให้เด็กเล่าเรื่องที่เกี่ยวกับสิ่งที่พบเห็นในอินเตอร์เน็ตให้กับผู้ปกครองได้รับทราบ และขอคำปรึกษาเมื่อพบกับปัญหา
3. ทำความเข้าใจกับเด็กเกี่ยวกับการใช้อินเตอร์เน็ต เพื่อป้องกันเด็กจากเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสม
4. แนะนำเด็กในการใช้อีเมล์ และให้ตรวจสอบหรือสอบถามเกี่ยวกับการส่งอีเมล์ที่ส่งมาให้เด็กอยู่เสมอ
5. ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการใช้แชตรูม หรือห้องสนทนาเกี่ยวกับข้อมูลที่เด็กควรปกปิดไว้ ไม่ควรบอกให้คู่สนทนารู้ เช่น นามสกุล ที่อยู่
6. ควรวางคอมพิวเตอร์ที่เด็กใช้ไว้ในที่เปิดเผย เช่น ห้องนั่งเล่น มากกว่าที่จะวางไว้ในห้องนอน หรือห้องส่วนตัว

สำหรับเยาวชน มีข้อควรระวัง...
1. ไม่บอกข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อ นามสกุล ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ ชื่อโรงเรียน ให้แก่บุคคลอื่นที่รู้จักทางอินเตอร์เน็ต
2. แจ้งให้ผู้ปกครองทราบโดยทันทีที่พบข้อมูลหรือรูปภาพใดๆ บนอินเตอร์เน็ตที่หยาบคายไม่เหมาะสม
3. ไม่ไปพบบุคคลใดก็ตามที่รู้จักทางอินเตอร์เน็ตโดยไม่ขออนุญาตจากผู้ปกครองก่อน
4. ไม่ส่งรูปหรือสิ่งของใดๆ ให้แก่ผู้อื่นที่รู้จักทางอินเตอร์เน็ตโดยไม่ได้ขออนุญาตจากผู้ปกครองก่อน

ข้อเสนอแนะว่าจะใช้ เน็ต อย่างไรให้ปลอดภัย

1. ไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัว เช่นชื่อนามสกุลจริง ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ ชื่อโรงเรียน
2. ไม่ส่งหลักฐานส่วนตัวของตนเองและคนในครอบครัวให้ผู้อื่น
3. ไม่ควรโอนเงินให้ใครอย่างเด็ดขาด นอกจากจะเป็นญาติสนิทที่เชื่อใจได้ จริงๆ
4. ไม่ออกไปพบเพื่อนที่รู้จักทางอินเตอร์เน็ต เพื่อป้องกันการลักพาตัว หรือการกระทำมิดีมิร้ายต่างๆ
5. ระมัดระวังการซื้อสินค้าทางอินเตอร์เน็ต รวมถึงคำโฆษณาชวนเชื่ออื่นๆ
6. ควรบอกพ่อแม่ผู้ปกครองหรือคุณครู ถ้าถูกกลั่นแกล้งทางอินเตอร์เน็ต เช่น ได้รับอีเมล์หยาบคาย
หรือถูกนำรูปถ่ายไปตัดต่อสร้างความเสียหาย
7. ระลึกอยู่เสมอว่า บุคคลที่เรารู้จักทางเว็บอาจจะเป็นบุคคลที่ไม่พึงประสงค์
8. ระวังตัวทุกครั้งที่มีการลงทะเบียนสมัครสมาชิกกับเว็บต่างๆ เพราะเราอาจกำลังตกอยู่ในสายตาของ
ผู้ไม่ประสงค์ดี ที่กำลังจับตามองอยู่
9. ถ้าคนมาชวนสร้างรายได้ โดยทำธุรกรรมผ่านทางเว็บ ให้คิดเสมอว่ารายได้ที่สูงเกินความจริง อาจตกอยู่
กลลวงของผู้ประสงค์ร้าย
10. ไม่ควรเข้าเว็บที่ต้องห้าม หรือเว็บที่มีการนำเสนอภาพรุนแรง

เป็นกำลังใจ..ให้ตัวเอง..

ฉันก้อเป็นคนแบบนี้
ยอมรับว่าไม่ใช่คนดีอะไรนักหนา
ชีวิตก้อผ่านอะไรร้าย ๆ มา
จนรู้ซึ้งถึงคำว่า...ชีวิตคน

ทำตัว เปรี้ยว หวาน มัน เผ็ด
ครบทุกรสที่ว่าเด็ด จนเกือบจะสับสน
ก้อไม่ใช่ว่าชีวิตจะต้องเจอแต่อารมณ์ที่ทุกทน
เชื่อมั๊ยว่า ดี-ร้ายมันปะปนกันเข้ามา

เป็นกำลังใจให้ตัวเองเสมอ
ถึงแม้ว่าไม่ได้เก่ง ดี เลิศเลอ อะไรนักหนา
ที่อยู่มาได้ จนวันนี้ ผ่านวันที่ร้าย ๆ มา
เพราะบอกตัวเองเสมอว่า "ต้องมีสักวัน-ต้องมีสักคน"

วันศุกร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2553

4G ระบบการสื่อสารในอนาคต

โลกยุคโลกาภิวัฒน์ในปัจจุบัน ได้ถือกำเนิดเทคโนโลยีใหม่ๆมากมายหลายด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีด้านการติดต่อสื่อสาร ซึ่งมีการคิดค้นและพัฒนากันอย่างรวดเร็ว อันนำมาซึ่งระบบเครือข่ายไร้สาย 4G ที่ เกิดขึ้นในอนาคตทำให้มนุษย์เราในฐานะผู้ใช้เทคโนโลยีจึงต้องก้าวตามเทคโนโลยีต่างๆเหล่านี้ให้ทันกับยุคสมัย

ระบบเครือข่ายการสื่อสารในปัจจุบัน เป็นเทคโนโลยีการสื่อสารไร้สายระบบ 2.5-3G ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดต่อสื่อสารได้ทั้งภาพและเสียง ตลอดรวมถึงข้อความต่างๆอาทิข้อความภาพและตัวอักษรได้ในเวลาอันรวดเร็ว ฉะนั้นประโยชน์จากการติดต่อสื่อสารไร้สายระบบ 2.5-3G นั้นก็คือ ผู้ใช้นอกจากจะติดต่อสื่อสารกันด้วยเสียงหรือการสนทนาแล้ว ยังสามารถที่จะติดต่อสื่อสารกันด้วยภาพหรือข้อความต่างๆได้อีกด้วย จนกระทั่งได้มีผู้คิดค้นระบบเครือข่ายการสื่อสารไร้สาย 4G ขึ้นมา เพื่อรองรับการสื่อสารไร้สายในอนาคต ระบบเครือข่ายการสื่อสารไร้สายแห่งอนาคตดังกล่าว ก็มีคุณสมบัติต่างๆคล้ายคลึงกับระบบเครือข่ายการสื่อสาร ไร้สาย 2.5-3G ในยุคปัจจุบัน แต่ก็มีคุณสมบัติพิเศษซึ่งแตกต่างกันนั้นก็คือ ระบบการสร้างภาพ 3 มิติ แต่ระบบการสร้างภาพ 3 มิตินั้นไม่ใช่ระบบ 3 มิติที่ใช้กันในปัจจุบัน เพราะเทคโนโลยีดังกล่าวเป็นการจำลอง ภาพคนหรือวัตถุที่สมจริงราวกับเป็นคนหรือวัตถุนั้นจริงๆเพียงแต่จับต้องไม่ได้เท่านั้น

อย่าง ไรก็ดี ประโยชน์ที่จะได้รับจากการนำระบบเครือข่ายการสื่อสารไร้สาย 4G มาใช้ นอกจากระบบการ สื่อสารดังกล่าวจะรองรับการสื่อสารในรูปแบบต่างๆแล้ว ผู้ใช้ยังสามารถที่จะนำโปรแกรมสื่อมัลติมีเดียมาปรับใช้กับเครือข่าย 4G ได้ เนื่องจากระบบเครือข่ายการสื่อสารไร้สาย 4G นั้น มีความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลได้ถึง 100 เมกะบิทต่อวินาที โดยการนำโปรแกรมสื่อมัลติมีเดียดังกล่าวมาใช้อาทิเช่น การฟังเพลง MP3 ผ่านระบบเครือข่ายการสื่อสาร เป็นต้น นอกจากนั้นผู้เชี่ยวชาญต่างเห็นด้วยว่า มีหลายสิ่งที่อาจเป็นไปได้ในระบบเครือข่ายการสื่อสารไร้สาย 4G โดย Ran Yan รองประธานฝ่ายวิจัยระบบไร้สายบริษัท Lucent Technologies กล่าวว่า มีหลายสิ่งที่อาจเป็นไปได้ในระบบเครือข่ายการสื่อสารไร้สาย 4G ซึ่งสิ่งใหม่ๆที่ เกิดขึ้นอาจรวมถึงการช่วยเสริมประสิทธิภาพของระบบ GPS (Global Positioning System) ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นกว่าในปัจจุบันและหากมีการผสมผสานเทคโนโลยีดังกล่าว เข้ากับระบบเครือข่ายการสื่อสารไร้สาย 4G ก็จะสามารถค้นหาตำแหน่งที่ตั้งต่างๆได้ทั่วโลกราวกับว่าบุคคลนั้นได้ไปอยู่ ในสถานที่เหล่านั้นจริงๆ เช่น หากคุณไม่อยู่บ้าน แต่มีคนมาเคาะประตูบ้านคุณๆก็อาจจะตัดสินใจใช้เทคโนโลยีนี้ฉายภาพคุณเพื่อ ทักทายกับคนที่มาเคาะประตูนั้นก็ได้

ถึง กระนั้นคุณสมบัติต่างๆของระบบ 4G ก็ดูเหมือนยังห่างไกลจากความเป็นจริงในตลาดเทคโนโลยีในโลกยุคปัจจุบันมากจน ดูราวกับว่าเป็นแค่เพียงนิยายวิทยาศาสตร์เท่านั้น แต่ถึงอย่างไรก็ยังเชื่อกันว่าจะต้องมีสักวันหนึ่งที่ระบบ 4G นั้นสามารถช่วยให้มีการใช้โปรแกรมสร้างภาพ 3 มิติที่สมบูรณ์แบบและช่วยให้คนเราสามารถติดต่อสื่อสารกันได้ง่ายขึ้นโดยอาจ จะไปโผล่ที่นั่นที่นี่ได้ตามต้องการ

วิวัฒนาการการสื่อสารผ่านอินเตอร์เน็ต

ในปัจจุปันการใช้อินเทอร์เน็ตมีบทบาทกับชีวิตประจำวั นมากขึ้น และใช้งานกันอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความจำเป็นที่จะต้องติดต่อสื่อสาร อินเตอร์เน็ตจึงได้รับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อ รองรับการสื่อสารรูปแบบต่างๆ เช่น การใช้จดหมายอินเล็กทรอนิกส์ การติดต่อด้วยเสียง ระบบ VDO Conference การใช้โทรศัพท์บนเครือข่าย ซึ่งก็มีวิวัฒนาการตามลำดับเบื้องต้นดังนี้

E-mail
หรือ จดหมายอิเล็กทรอนิคส์เป็นบริการอย่างหนึ่งที่นิยมใช้ กันอย่างแพร่หลายมาก จนทำให้บางคนคิดว่า E-mail คือ อินเตอร์เน็ต และอินเตอร์เน็ตคือ E-mail วิธีใช้งานอีเมลล์ก็ง่ายและมีประโยชน์มาก การทำงานของ E-mail มีลักษณะคล้ายกับระบบไปรษณีย์ปกติ (หมายถึงระบบที่ใช้กระดาษในการเขียนจดหมาย) กล่าวคือในระบบไปรษณีย์ปกติมีหน่วยงานที่ทำหน้าที่ใน การรับส่งจดหมายคือเป็นบรุษไปรษณีย์ (ในกรณีของประเทศไทยคือ การสื่อสารแห่งประเทศไทย) ถ้าเป็นในอินเตอร์เน็ตสิ่งที่ทำหน้าที่คอยรับส่งจดหม ายคือบรรดาคอมพิวเตอร์ทั้งหลายที่ทำหน้าที่เป็น E-mail Server (คอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่ให้บริการด้านจดหมายอิเล็กท รอนิคส์)

Chat
คือ การส่งข้อความสั้นๆ ระหว่างบุคคลที่อยู่หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์ในเวลาเดี ยวกัน และสามารถเขียน

โต้ตอบกันไปมาคล้ายกับการคุยกัน ซึ่งก็ได้มีการพัฒนโปรแกรมสำหรับหาร Chat ออกมามากมายที่เป็นที่นิยมและใช้กันอย่างแพร่หลายก็ค ือ MSN Messenger

และสิ่งหนึ่งที่มีการพัฒนาต่อมา คือระบบการสื่อสารด้วยเสียงผ่านเครือข่าย IP ที่เรียกว่า เทคโนโลยี Voice over IP หรือที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า “VoIP” จนสามารถใช้งานได้ดีขึ้น เพื่อให้ได้รับประโยชน์และมีความสะดวกมากที่สุด VoIP ถูกเริ่มต้นใช้งานกันอย่างกว้างขวาง เพื่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลสามารถสนทนา ระหว่างกัน ได้ รวมถึงการสนทนากับโทรศัพท์พื้นฐานอีกด้วยโดยไม่เสียค ่าบริการแต่อย่างได และคุณภาพของบริการก็ถูกพัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆจนเทียบเท ่าระบบ โทรศัพท์พื้นฐาน

ซึ่ง VoIP สามารถแบ่งได้เป็น 3 ลักษณะคือ
1. คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ไปยัง คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ( PC to PC )
PC มีการติดตั้ง sound card และไมโครโฟน ที่เชื่อมต่ออยู่กับเครือข่าย IP การประยุกต์ใช้ PC และ IP-enabled telephones สามารถสื่อสารกันได้แบบจุดต่อจุด หรือ แบบจุดต่อหลายจุด โดยอาศัย software ทางด้าน IP telephony



2. คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ไปยัง โทรศัพท์พื้นฐาน ( PC to Phone )
เป็นการเชื่อมเครือข่ายโทรศัพท์เข้ากับ เครือข่าย IP ทำให้โดยอาศัย Voice trunks ที่สนับสนุน voice packet ทำให้สามารถใช้ PC ติดต่อกับ โทรศัพท์ระบบปกติได้


3. โทรศัพท์กับโทรศัพท์ ( Telephony )
เป็นการใช้โทรศัพท์ธรรมดา ติดต่อกับโทรศัพท์ธรรมดา แต่ในกรณีนี้จริงๆแล้วประกอบด้วยขั้นตอนการส่งเสียงบ นเครือข่าย Packet ประเภทต่างๆซึ่งทั้งหมดติดต่อกันระหว่างชุมสายโทรศัพ ท์ (PSTN) การติดต่อกับ PSTN หรือ การใช้โทรศัพท์ร่วมกับเครือข่ายข้อมูลจำเป็นต้องใช้ gateway